แพทย์ทหารเตือน “เฝ้าระวัง โรคติดเชื้อไวรัส RSV ในช่วงฤดูฝน”
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!
จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในช่วงฤดูฝน มักพบการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคติดเชื้อไวรัส RSV โรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด 19 และโรคปอดอักเสบ ซึ่งเชื้อไวรัส RSV เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่มักพบการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กเล็กเป็นหลัก โดยเชื้อ RSV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดปอดอักเสบรุนแรงในเด็กและผู้สูงอายุ
จากลักษณะทางระบาดวิทยาในช่วงปีที่ผ่านมา มักพบโรคติดเชื้อไวรัส RSV ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงเดียวกับฤดูกาลระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ อาการและการติดต่อมีความคล้ายกัน ปัจจัยที่ทำให้การแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจาก เชื้อไวรัสจะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลานานหลายชั่วโมงโดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่างๆ และเชื้อแพร่กระจายได้ง่ายผ่านน้ำมูก น้ำลาย การไอ หรือจาม เช่นเดียวกับโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ อาการของโรคเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา คือ มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ แต่หากพบอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย หรือหายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) หายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม ซึมลง รับประทานอาหารได้น้อยลง และในเด็กไม่เล่น ไม่ดูดนม ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที

ในการนี้ พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 และคณะแพทย์ทหาร มีความห่วงใยข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 รวมทั้งพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จากโรคภัยดังกล่าว จึงขอให้พี่น้องประชาชน ใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 โดยล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ, เลี่ยงการนำมือที่ไม่สะอาดมาสัมผัสจมูก ปาก หรือตา, ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อน ส้อม, หมั่นเช็ดถูทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังพบเด็กป่วย และเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ หากป่วย ให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน และสวมหน้ากากอนามัย หมั่นทำความสะอาดบ้านเพื่อลดเชื้อ, ดื่มน้ำมากๆ เนื่องจากน้ำจะช่วยทำให้สารคัดหลั่งไม่เหนียวจนเกินไป หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น หอบเหนื่อย ซึมลง รับประทานอาหารได้น้อย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพภาคที่ 3 โดย โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือประชาชน ในยามวิกฤตทุกโอกาส.